ปรับโครงสร้างใหม่ "เอสซีจี" เพิกถอนหุ้น COTTO สปินออฟ SCG Decor ขาย IPO
SCC กำไรปี 2565 วูบ 55% จากธุรกิจเคมิคอลส์ ปันผลงวดสุดท้าย 2 บาท
กรณี เอสซีจี หรือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ ด้วยการนำ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ควบรวมกับ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decorคำพูดจาก สล็อตวอเลท
ล่าสุดวันนี้ 31 มี.ค. 2566 คุณนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ COTTO เปิดเผยว่าหลังจากควบรวม จะส่งผลให้ SCG decor มีผลิตภัณฑ์ทั้งกระเบื้องปูพื้น ผนัง และสุขภัณฑ์ โดยมี 4 ประเทศหลักที่ประกอบธุรกิจตอนนี้ คือ ประเทศไทย เวียด นาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรรวมกันทั้งหมดกว่า 560 ล้านคน
โดยกำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นราว 3.6 เท่า แบ่งเป็นธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในไทย 80 ล้านตารางเมตรต่อปี ต่างประเทศ 107.2 ล้านตารางเมตรต่อปี และธุรกิจสุขภัณฑ์ 4.3 ล้านตารางเมตรต่อปี
ขณะที่รายได้ในงบปี 65 จะปรับเพิ่มขึ้น 2.3 เท่า อยู่ที่ 30,886 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 2.6 เท่า ที่ 1,163 ล้านบาท และสินทรัพย์รวมทั้งหมดเพิ่มขึ้นที่ 40,576 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์บริษัทจะผลักขยายธุรกิจที่เป็นจุดแข็งเข้าไปในตลาดอาเซียน ทั้งธุรกิจสุขภัณฑ์ (กระเบื้อง) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องโดยใช้รูปแบบธุรกิจในไทย รวมถึงขยายธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (กระเบื้องเซรามิกและไวนิล)
รวมถึงบริษัทฯ เตรียมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลดต้นทุนในอาเซียน จาก 4 โรงงาน เป็น 12 โรงงาน รวมถึงปรับการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะได้โอกาสการต่อรองทางธุรกิจ และได้ต้นทุนดีถูกมากขึ้น
นอกจากนี้การขยายตลาดในช่วงแรกจะทำใน 4 ประเทศหลักให้แข็งแรงก่อน จากนั้นเป้าหมายต่อขยายในกลุ่มประเทศอาเซียน และไปในประเทศอื่น ๆ ในระยะถัดไป
เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิต จริง ๆ เราเป็นผู้นำเข้า และในเมืองไทย เราเป็นผู้นำเข้าเบอร์ 1 เรานำเข้ากระเบื้องปีที่ผ่านมา 12 ล้านตารางเมตร มีสัดส่วนราว 20% ของที่เราขาย ดังนั้นเราเป็นผู้เล่นรายใหญ่ ถามว่าเราไปเอาสินค้านำเข้ามา ด้วยความที่เราเป็นผู้ผลิต เรารู้ระดับคุณภาพของสินค้า ดังนั้นเวลาเรานำเข้าสินค้าเรื่องคุณภาพจึงไม่ต้องห่วง และเรามีแบรนด์ที่เข็มแข็ง พอมีสินค้าที่ได้คุณภาพ ใส่แบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับเข้ามา และช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม มันทำให้เราไม่ห่วง และคิดว่าทำได้ การรวมครั้งนี้ทำให้ปริมาณการนำเข้าใหญ่ขึ้น โอกาสที่จะถูกลงก็เยอะ เพราะฉะนั้นการแข่งขันน่าจะไปต่อได้และขยายต่อได้ในอาเซียน
คุณสมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน SCG decor ระบุว่า การปรับโครงสร้างบริษัทในครั้งนี้จะมีทั้งหมด 2 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนแรกการออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อนำไปแลกกับหุ้น COTTO และส่วนที่สอง การออกและเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
โดยในวันที่ 23 พ.ค. 2566 บริษัทกำหนดจัดประชุมผู้ถือหุ้น COTTO และหากมีการโหวตเห็นชอบการปรับโครงสร้างแล้ว บริษัทฯก็จะยื่นไฟลิ่งกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งมีระยะเวลาอนุมัติไม่เกิน 165 วัน หลังจากนั้นบริษัทจะทำคำเสนอซื้อหุ้น COTTO (Tender Offer) ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธีการแลกกับหุ้น SCG decor ส่วนจำนวนการแลกหุ้นนั้นจะเปิดเผยในภายหลัง ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มเปิด IPO หุ้น SCG decor ได้ภายในปีนี้ 66 หรือต้นปีหน้า 67
ส่วนการรับซื้อหุ้น COTTO ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้นนั้น ทางคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาจากกระแสเงินสด ราคาตลาด ตัวอย่างรายการในอดีต จึงมองว่าราคานี้น่าจะเหมาะสมที่สุด อีกทั้งยังเป็นราคาที่สูงกว่าตลาดราว 35% ณ ราคาปิดก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัท